๒)หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit : CPU) ซีพียูเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์
ควบคุมการทำงานและประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากอุปกรณ์ต่างๆให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
๓)หน่วยความจำหลัก (main memory) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมคำสั่งต่างๆในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์เปิดใช้งานอยู่เท่านั้น หากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์จะทำให้ข้อมูลนั้นหายไป
หน่วยความจำหลักทำงานควบคู่ไปกับหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วขึ้น
ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ หน่วยความจำแรม และ หน่วยความจำรอม
๔)หน่วยความจำรอง (secondary storage) เป็นอุปกรณ์สำหรับจัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์อย่างถาวร
ผู้ใช้สามารถเรียกข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ในภายหลังได้
แม้จะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ข้อมูล แต่โปรแกรมที่เก็บไว้จะไม่สูญหาย
อุปกรณ์หน่วยความจำรองที่มีในปัจจุบัน เช่น ฮาร์ดดิสก์ ออปติคัลดิสถ์ เป็นต้น
๕)หน่วยส่งออก (output unit) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลที่ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้ง่าย
เป็นทั้งภาพ เสียง สี แสง ตัวอักษร รูปภาพ อุปกรณ์หน่วยแสดงผลที่มีในปัจจุบัน เช่น
จอภาพ ลำโพง เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
๒.๑ หน่วยรับเข้า
หน่วยรับเข้า (input
unit) เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้
เข้าสู่หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์
และแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลได้
ข้อมูลเข้า (input)
ประกอบด้วยข้อมูล (data) และคำสั่ง
(program) โดยข้อมูลอาจอยู่ในรูปแบบของตัวอักษร
ตัวเลข สัญลักษณ์ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง
ซึ่งข้อมูลจะถูกนำเข้าเมื่อผู้ใช้เปิดโปรแกรม เช่น เมื่อผู้ใช้เปิดโปรแกรม Microsoft Office Word ผู้ใช้ต้องป้อนข้อมูลในรูปแบบของตัวอักษรและสัญลักษณ์
รวมทั้งรับคำสั่งเพื่อการจัดเก็บ (save)
ข้อมูล เป็นต้น
หน่วยรับเข้าจึงมีอุปกรณ์มากมายที่มีความสามารถในการรับข้อมูลเข้าที่มีรูปแบบแตกต่างกัน
อุปกรณ์หน่วยรับเข้าที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบ่งออกได้เป็น ๗ กลุ่มดังนี้
๑)อุปกรณ์แบบกด (keyed device) เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบไปด้วยปุ่มสำหรับกด
เพื่อป้อนข้อมูลในรูปแบบตัวอักษร ตัวเลข
และสัญลักษณ์พิเศษเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
อุปกรณ์แบบกดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ แป้นพิมพ์
ซึ่งแป้นพิมพ์ประกอบด้วยปุ่มสำหรับการพิมพ์อักขระ พิมพ์ตัวเลข
การเรียกใช้ฟังก์ชันของซอฟต์แวร์ และการควบคุมการทำงานร่วมกับปุ่มอื่นๆ
ปัจจุบันแป้นพิมพ์ที่วางจำหน่ายมีการพัฒนาระบบต่างๆ เพิ่มขึ้นมากมาย
ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ ได้แก่ ระบบการเชื่อมต่อแบบมีสายและไร้สาย
การออกแบบตัวแป้นและปุ่มควบคุมการใช้งานมัลติมีเดีย แป้นพิมพ์จึงมีหลากหลายชนิดสำหรับสนับสนุนการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
ดังนี้
๑.๑) แป้นพิมพ์ไร้สาย (cordless keyboard) แป้นพิมพ์ที่ออกแบบเพื่อส่งผ่านข้อมูลโดยเทคโนโลยีไร้สาย
และทำงานโดยพลังงานแบตเตอรี่ ทำให้เกิดความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
๑.๒) แป้นพิมพ์ที่ออกแบบตามหลักการยศาสตร์ (ergonomics keyboard)
เป็นแป้นพิมพ์ที่มีการออกแบบโดยคำนึงถึงความเสี่ยงกับการได้รับบาดเจ็บของผู้ใช้จากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
๑.๓) แป้นพิมพ์พกพา (portable keyboard) เป็นแป้นพิมพ์ที่ออกแบบสำหรับเครื่องพีดีเอ
มีทั้งแบบพับและแบบที่ทำจากยางซึ่งสามารถม้วนเก็บได้ ทำให้ใช้งานได้สะดวก
๑.๔) แป้นพิมพ์เสมือน (virtual keyboard) เป็นแป้นพิมพ์ที่ออกแบบสำหรับใช้ร่วมกับเครื่องพีดีเอ
ซึ่งใช้เลเซอร์ในการจำลองภาพให้เสมือนแป้นพิมพ์จริง
๒)อุปกรณ์ชี้ตำแหน่ง (pointing
device) หรือเมาส์ (mouse)อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งเป็นอุปกรณ์สำหรับเลื่อนตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
ทำให้มีการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์รวดเร็วกว่าแป้นพิมพ์
อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งจะรับข้อมูลจากการชี้ คลิก ดับเบิ้ลคลิก ลากและวาง
จากนั้นข้อมูลจะถูกแปลงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้าที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้
ปกติตัวชี้ตำแหน่งของเมาส์จะเป็นรูปลูกศร
และมีกลไกภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถจับได้ว่าเมาส์เลื่อนตำแหน่งไปมากน้อยแค่ไหนและในทิศทางใด
อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่นิยมใช้ มีดังนี้
๒.๑)เมาส์แบบทั่วไป (mechanical mouse) เป็นเมาส์ที่ได้รับการออกแบบให้ใช้ลูกบอลเป็นตัวจับทิศทางที่เมาส์เลื่อนไป
๒.๒)เมาส์แบบแสง (optical mouse) เป็นเมาส์ที่ออกแบบโดยใช้แสงส่องไปกระทบพื้นผิวด้านล่าง
โดยวงจรภายในเมาส์จะวิเคราะห์แสงสะท้อนที่เปลี่ยนไปเมื่อเลื่อนเมาส์และแปลงทิศทางเป็นการชี้ตำแหน่ง
๒.๓)เมาส์แบบไร้สาย (wireless mouse) เมาส์ที่ใช้คลื่นวิทยุหรือแสงอินฟราเรดในการติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์
ทำให้มีการเคลื่อนไหวที่สะดวก
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์สมัยใหม่ที่ใช้หลักการทำงานของอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่อำนวยความสะดวกในการใช้งานมากมาย
ได้แก่
- ลูกกลมควบคุม (track ball) เป็นอุปกรณ์ที่มีลูกบอลขนาดเล็กวางอยู่ด้านบน
ผู้ใช้สามารถหมุนลูกบอลเพื่อเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ
- แท่งชี้ควบคุม (track point) เป็นแท่งพลาสติกเล็กๆอยู่ตรงกลางแป้นพิมพ์
ผู้ใช้สามารถเลื่อนตำแหน่งตัวชี้บนจอภาพได้โดยใช้นิ้วหัวแม่มือกดและเลื่อน
- แผ่นรองสัมผัส(touch pad) เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมที่วางอยู่หน้าแป้นพิมพ์ของโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์
ผู้ใช้สามารถใช้นิ้วมือเคลื่อนที่ผ่านไปยังตำแหน่งต่างๆ
เพื่อเลื่อนตำแหน่งของตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ
- จอยสติ๊ก (joystick) เป็นก้านสำหรับใช้โยกไปตามทิศทางที่ต้องการ
เพื่อย้ายตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพ และมีแป้นกดสำหรับสั่งงานพิเศษ
นิยมใช้กับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์
- เมาส์ที่ควบคุมด้วยเท้า (foot mouse) เป็นเมาส์ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้มือในการควบคุมเมาส์แบบปกติได้
โดยเมาส์ชนิดนี้จะเลื่อนตัวชี้ตำแหน่งและคลิกได้ด้วยเท้า
- เมาส์ที่ควบคุมด้วยตา (eye tracking) เป็นเมาส์ที่ออกแบบมาสำหรับการควบคุมตัวชี้ตำแหน่งด้วยสายตาหรือเรตินา
- ไจโรสโคปิก เมาส์ (gyroscopic mouse)เป็นเมาส์ที่ควบคุมตัวชี้ตำแหน่ง
โดยไม่ต้องใช้พื้นผิวสัมผัส ผู้ใช้สามารถเคลื่อนไหวเมาส์ในอากาศ
เพื่อควบคุมตัวชี้ตำแหน่งบนจอภาพได้ทันที
นอกจากนี้ ซีพียูยังมีองค์ประกอบสำคัญ ๒
องค์ประกอบ คือ เรจิสเตอร์ และบัส เรจิสเตอร์(register) เป็นหน่วยจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูง
ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลหรือชุดคำสั่งไว้ชั่วคราวในระหว่างการประมวลผลของซีพียู
เรจิสเตอร์ในซีพียูมีหน้าที่การทำงานที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวนับระบุตำแหน่งคำสั่ง
(program counter : PC) เก็บตำแหน่งที่อยู่ของคำสั่งถัดไปที่จะนำมาประมวลผล
(instruction register :
IR) เก็บคำสั่งก่อนการกระทำการประมวลผลคำสั่ง (execute) และเก็บข้อมูลชั่วคราว(accumulator) เป็นต้น
บัส (bus) คือ
เส้นทางการรับส่งข้อมูลระหว่างหน่วยต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์
๒.๓ หน่วยความจำหลัก
หน่วยความจำหลัก (main
memory) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลและคำสั่งที่ได้รับจากหน่วยเก็บข้อมูลและเก็บผลลัพธ์ที่ผ่านการประมวลผลแล้ว
ขณะที่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งาน บางครั้งอาจเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก
(primary storage)
หน่วยความจำหลักทำงานควบคู่ไปกับซีพียูและช่วยให้การทำงานของซีพียูมีประสิทธิภาพดีขึ้น
ซึ่งซีพียูจะทำหน้าที่นำคำสั่งจากหน่วยความจำหลักมาแปลงความหมายแล้วกระทำตาม
เมื่อทำเสร็จก็จะนำผลลัพธ์มาเก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก
โดยซีพียูจะกระทำตามขั้นตอนเช่นนี้เป็นวงรอบเรื่อยไปอย่างรวดเร็ว
เรียกการทำงานลักษณะนี้ว่าวงรอบคำสั่ง (execution cycle) โดยวงรอบของการทำงานของซีพียูนั้นทำงานเร็วมากหากไม่มีที่เก็บหรือพักข้อมูลและความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลที่มีขนาดเพียงพอ
จะทำให้การประมวลผลช้าลงตามไปด้วย โดยทั่วไปหน่วยความจำหลัก แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท
ดังต่อไปนี้
๑)หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้ (random access memory : RAM) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
แรม เป็นหน่วยความจำที่จัดเก็บข้อมูลในขณะที่ซีพียูกำลังประมวลผล
หรือเมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ดังนั้น
หน่วยความจำประเภทนี้ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าในการทำงานเพื่อไม่ให้ข้อมูลสูญหาย
ซึ่งอาจเรียกว่า หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ ( volatile memory ) หากเกิดกระแสไฟฟ้าดับ
หรือเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ข้อมู,ที่อยู่ในหน่วยความจำจะถูกลบไป
แรมสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิด ดังนี้
๑.๑) แรมหลัก (main
RAM) ใช้เก็บข้อมูลและคำสั่งหรือโปรแกรมระหว่างการทำงานของซีพียู
โดยซีพียูสามารถเข้าถึงข้อมูลและคำสั่งในแรมอย่างรวดเร็ว
ซึ่งหากผู้ใช้ต้องการเก็บข้อมูลภายหลง
ผู้ใช้ต้องย้ายข้อมูลจากแรมไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำรอง เช่น ฮาร์ดดิสก์
ออปติคัลดิสก์ แฟลชไดรฟ์ เป็นต้น โดยการสั่งคำสั่งบันทึกจากโปรแกรมที่ใช้งาน
๑.๒) แรมวีดิทัศน์ (video
RAM) ใช้เก็บข้อมูลสำหรับจอภาพ
ทำให้สามารถส่งภาพไปที่จอได้เร็วขึ้น นิยมใช้กับการเล่นเกมและงานด้านกราฟิก
เพื่อช่วยให้ภาพประกฎที่หน้าจอได้อย่างรวดเร็ว
โดยปกติแล้วการวัดขนาดของหน่วยความจำ นิยมวัดโดยใช้หน่วยเป็นไบต์ (Byte) ซึ่งอาจเทียบได้เท่ากับตัวอักษร
๑ ตัวโดยคอมพิวเตอร์มีขนาดหน่วยความจำที่ใหญ่มากจะทำงานได้เร็วมากขึ้น
ซึ่งหน่วยวัดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีดัง
1 byte (ไบต์) = 1 ตัวอักษร (ประมาณ 1 พันตัวอักษร)
1 KB (กิโลไบต์) = 1024 ตัวอักษร (ประมาณ 1 พันตัวอักษร)
1 MB (เมกะไบต์)
= 1048576 ตัวอักษร (ประมาณ 1 ล้านตัวอักษร)
1 GB (กิกะไลต์) = 1073741824 ตัวอักษร (ประมาณ
1 พันล้านตัวอักษร)
ปัจจุบันขนาดหน่วยความจำหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีขนาดตั้งแต่
256 MB 512 MB 1GB 2GB
4GB เป็นต้น
๒)หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว (read only memory : ROM) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า
รอม เป็นหน่วยความจำที่ปริษัทผู้ผลิตติดตั้งชุดคำสั่งที่ใช้ในการเริ่มต้นการทำงานหรือชุดคำสั่งที่สำคัญของระบบคอมพิวเตอร์
โดยรอมมีคุณสมบัติในการเก็บข้อมูลไว้ตลอดโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเลี้ยง นั่นคือ
เมื่อเปิดเครื่องไปแล้ว และเปิดเครื่องใหม่ข้อมูลในรอมก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่ผู้ใช้ไม่สามรถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมชุดคำสั่งในรอมได้
ชุดคำสั่งที่ติดตั้งในรอมอย่างถาวรมาตั้งแต่ผลิตของบริษัทเรียกว่า เฟิร์มแวร์ (firmware) ปัจจุบันรอมมีอยู่หลายชนิดบางชนิดมีความสามารถเพิ่มเติมชุดคำสั่งด้วยโปรแกรมพิเศษได้
ชนิดของรอมที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Mark ROM , PROM EPROM และ EEPROM
๒.๔ หน่วยความจำรอง
หน่วยความจำรอง (secondary
storage) เป็นหน่วยเก็บข้อมูลถาวรที่ผู้ใช้สามารถย้ายข้อมูลและคำสั่งที่อยู่ในแรมขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานมาจัดเก็บไว้ได้ด้วยคำสั่งบันทึกของโปรแกรมต่างๆ
ทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกข้อมูลและคำสั่งมาใช้ภายหลังได้
ซึ่งหน่วยความจำรองมีความจุข้อมูลได้มากกว่าหน่วยความจำหลักมีราคาถูกกว่า
แต่เข้าถึงข้อมูลได้ช้ากว่าหน่วยความจำหลัก
อุปกรณ์หน่วยความจำรองที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้
๑)
ฮาร์ดดิสก์ (hard
disk) ใช้หลักการของการเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่ม
(random access) กล่าวคือ
ถ้าต้องการข้อมูลลำดับที่ ๒๑
หัวอ่านก็จะต้องไปที่ข้อมูลนั้นและอ่านข้อมูลขึ้นมาได้ทันที หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์
เรียกว่า หัวอ่านและบันทึก (read/write
head) โดยฮาร์ดดิสก์ที่ทำมาจากแผ่นจานแม่เหล็กเรียงซ้อนกันหลายๆ
แผ่น ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้ทั้งสองหน้าของผิวจานแม่เหล็ก
ยกเว้นแผ่นสุดท้ายที่ติดกับกล่องจะบันทึกข้อมูลได้เพียงหน้าเดียว โดยที่ทุกแทร็ก (track) และเซ็กเตอร์
(sector) ที่ตำแหน่งตรงกันของฮษร์ดดิสก์ชุดหนึ่งๆ
จะถูกเรียกว่า ไซลินเดอร์ (cylinder)
การทำงานของหัวอ่านและบันทึกจะไม่สัมผัสกับผิวของแผ่นจานแม่เหล็ก
ดังนั้นหากมีฝุ่นไปกีดขวางหัวอ่านและบันทึก
อาจทำให้หัวอ่านและบันทึกกระแทกกับผิวของแผ่นจานแม่เหล็ก ทำให้แผ่นเกิดความเสียหาย
และเกิดความผิดพลาดในการเรียกใช้ข้อมูลได้
ความจุของฮาร์ดดิสก์มีหน่วยตั้งแต่เป็นไบต์ เมกะไบต์ กิกะไบต์
ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความจุของฮาร์ดดิสก์มากสามารถเก็บข้อมูลได้มาก
๒) เทปแม่เหล็ก (magnetic tape) เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่ได้รับความนิยมน้อยลง
ใช้สำหรับการเก็บสำรองข้อมูล (backup)
เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล
ใช้หลักการของการเข้าถึงแบบลำดับ (sequential
access) ข้อดีของเทปแม่เหล็ก คือ
ราคาถูกและเก็บข้อมูลได้มาก แต่เปลี่ยนจากการเล่น (play) และบันทึก (record) เป็นการอ่าน (read) และเขียน (write)
๓) ออปติคัลดิสก์ (optical disk) เป็นหน่วยความจำรองที่ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์ในการบันทึกข้อมูล
ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากและราคาไม่แพง ออปติคัลดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
มีดังนี้
๓.๑) ซีดีรอม (CD-ROM : compact disk-read-only memory) คือ
หน่วยความจำรองที่บันทึกได้เพียงครั้งเดียว
หลังจากนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลเหล่านั้นได้อีก
๓.๒) ซีดีอาร์ (CD-R : compact disk recordable) คือ
หน่วยความจำรองที่สามารถเขียนข้อมูลลงแผ่นแล้วข้อมูลเหล่านั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
แต่ผู้ใช้สามารถบันทึกข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมลงแผ่นเดิมได้จนกว่าข้อมูลจะเต็มแผ่น
๓.๓) ซีดีอาร์ดับบลิว (CD-RW :compact disk rewritable) คือ
หน่วยความจำที่สามรถเขียนข้อมูลลงแผ่น และสามารถเขียนข้อมูลลงแผ่น
และสามารถเขียนข้อมูลใหม่ทับลงในข้อมูลเดิมได้
หรือผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเนื้อหาต่างๆภายในแผ่นซีดีอาร์ดับบลิวได้
๓.๔) ดีวีดี (DVD-digital video disk) เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น
มีการใช้เทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูลมากขึ้น
ดีวีดีหนึ่งแผ่นสามารถเก็บข้อมูบได้ตั้งแต่ ๔.๗ กิกะไบต์ ดีวีดีแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด
ดังนี้
(๑) ดีวีดีรอม (DVD-ROM) ส่วนมากใช้กับการเก็บภาพยนตร์ที่มีความยาวเกินกว่าสองชั่วโมงได้
(๒) ดีวีดี-อาร์ (DVD-R) ใช้ในการเก็บข้อมูลที่มีปริมาณมาก
ซึ่งมีราคาสูงกว่าดีวีดีรอม หลังจากที่มีการบันทึกข้อมูลลงแผ่นดีวีดีอาร์แล้วว ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้
(๓) ดีวีดี-อาร์ดับบลิว (DVD-RW) เป็นเทคโนโลยีแบบแสง
มีเครื่องอ่านที่ให้ผู้ใช้บันทึก ลบ และบันทึกข้อมูลซ้ำลงบนแผ่นเดิมได้
๓.๕) บลูเรย์ดิสก์ (blue ray disk) เป็นเทคโนโลยีแบบแสงล่าสุดที่สามารถบันทึกข้อมูลความละเอียดสูงได้ถึง
๑๐๐ กิกะไบต์ ให้ภาพและเสียงที่คมชัด มักนำมาใช้ในการบันทึกภาพยนตร์
๔) หน่วยความจำแบบแฟลช (flash memory device) มีชื่อเรียกหลายอย่างได้แก่
แฟลชไดร์ฟ (flash drive) ธัมไดร์ฟ
(thump drive) หรือแฮนดีไดร์ฟ
(handy drive) เป็นหน่วยความจำรองชนิดอีอีพร็อม
(electrically erasable
programmable read-only memory : EEPROM ) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถเก็บข้อมูล
เขียน และลบข้อมูลได้ตามต้องการ หน่วยความจำชนิดนี้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา
พกพาได้สะดวก
ปัจจุบันหน่วยความจำแบบแฟลชสามารถเก็บข้อมูลตั้งแต่
128 MB 256 MB 512 MB 1GB 2 GB จนถึง
16 GB และนับวันยิ่งจะมีความจุเพิ่มขึ้นอีก
นอกจากหน่วยสำคัญของคอมพิวเตอร์ที่กล่าวมาแล้ว
ยังมีอุปกรณ์สำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ แผงวงจรไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เรียกว่า
แผงวงจรหลัก (main board
) ซึ่งประกอบด้วยซีพียู หน่วยความจำ
ชิปประมวลผลเสริม (coprocessor)
และมีช่องสำหรับต่ออุปกรณ์ป้อนข้อมูลและแสดงผล
รวมทั้งมีช่องเสียบขยาย (expansion
slot) ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้สำรองไว้ใช้กับการ์ดเพิ่มเติม
(expansion card) หรือตัวปรับต่อ
(adapter) อื่นๆ
ปัจจุบันอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เห็นและจับต้องได้ที่กล่าวมาแล้วนั้น
เรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (hardware)
ซึ่งมีการพัฒนาทั้งด้านความเร็ว
เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ หลากหลายรูปแบบ
มีราคาถูกลงและเทคโนโลยีทางด้านนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากที่การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ
๒.๕ หน่วยส่งออก
หน่วยส่งออก (output unit) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลลัพธ์หรือสารสนเทศที่ผ่านการประมวลผลแล้ว
โดยจะแปลงข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจให้กลายเป็นผลลัพธ์ในรูปแบบต่างๆ
ที่มนุษย์เข้าใจ ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์พิเศษ รูปภาพ
ภาพเคลื่อนไหว และเสียง
หน่วยส่งออกที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบ่งเป็น ๒
ประเภท คือ
๑)หน่วยส่งออกชั่วคราว (solf copy) เป็นอุปกรณ์แสดงผลที่ให้ผู้ใช้ได้ทราบผลลัพธ์ในขณะนั้น
แต่เมื่อเลิกการทำงานหรือเลิกใช้แล้วผลลัพธ์นั้นก็จะหายไป
หน่วยแสดงผลชั่วคราวที่นิยมใช้ มีดังนี้
(๑.๑) จอภาพ (monitor) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลลัพธ์ได้ทั้งตัวอักษร
ตัวเลข ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว จอภาพในปัจจุบันมีหลายชนิด ดังนี้
(๑) จอภาพซีอาร์ที (cathode ray tube monitor : CRT )จอภาพมีรูปร่าง
ขนาด และเทคโนโลยีเดียวกับโทรทัศน์ กล่าวคือ เป็นเทคโนโลยีที่ใช้หลักการทำงาน
โดยการยิงแสดงอิเล็กตรอนไปยังด้านในของจอภาพ ซึ่งผิวของจอภาพจะฉาบด้วยสารฟอสฟอรัส
เมื่อตำแหน่งที่มีอิเล็กตรอนวิ่งมาชนจอภาพจะเกิดแสงสว่างขึ้น
แสงสว่างแต่ละจุดทำให้เห็นเป็นภาพ และมีหลอดแก้วแสดงผล เรียกว่า หลอดรังสีแคโทด (cathode ray tube)ซึ่งจอภาพซีอาร์ที
จะส่งแสงสะท้อนมายังนัยต์ตาของผู้ใช้ค่อนข้างมาก
(๒) จอภาพแอลซีดี (liquid
crystal display monitor : LCD) เป็นจอภาพแบบแบน
และใช้เทคโนโลยีการเรืองแสงของผลึกเหลว (liquid crystal) จึงใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยและมีแสงที่ส่องมายังตาผู้ใช้น้อย
ทำให้ถนอมสายตาได้มากกว่าจอซีอาร์ที จอภาพแอลซีดีมีอยู่ ๒ ประเภท คือ
จอภาพแบบแอกทีฟเมทริกซ์(active
matrix) เป็นจอภาพที่มีความละเอียด
จอสว่างและชัดเจนมาก
และจอภาพพาสซีฟเมทริกซ์ (passive
matrix) เป็นจอภาพที่ให้ความสว่างและความคมชัดน้อยกว่าจอภาพแบบแอกทีฟเมทริกซ์
(๓) จอภาพพลาสมา (plasma monitor) มีลักษณะแบนและบาง
โดยจอภาพประกอบขึ้นจากแผ่นแก้วสองชุดวางชิดกัน
ช่องว่างนี้จะถูกแบ่งออกเป็นเซลล์แสง
แต่ละเซลล์จะบรรจุแก๊สผสมระหว่างแก๊สซีนอนและแก๊สเฉื่อยอื่นๆ
หลักการทำงานของจอพลาสมา คือเมื่อแก๊สในเซลล์เหล่านี้ถูกกระตุ้นด้วยพลังงานไฟฟ้า แก๊สจะแตกตัวออกเป็นประจุและปล่อยแสงอัลตราไวโอเลตออกมา
สารเรืองแสงที่เคลือบไว้ที่จอจะดูดซับแสงอัลตราไวโอเลตและและสร้างสีที่มองเห็นได้ด้วยตา
ทำให้ผู้ใช้มองเห็นเป็นภาพที่มีความสว่างและคมชัดมากกว่าจอแอลซีดี
รวมทั้งแสดงภาพเคลื่อนไหวเร็วๆได้ดีเหมาะกับการใช้รับชมภาพยนตร์เป็นอย่างมาก
๑.๒) อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector) ทำหน้าที่รับสัญญาณจากเครื่องคอมพิวเตอร์
และขยายภาพให้มีขนาดใหญ่ไปยังพื้นผิวเรียบหรือจอภาพขนาดใหญ่
นิยมใช้ในการเรียนการสอน การประชุม รวมถึงรองรับการฉายภาพยนตร์จอขนาดใหญ่ในบ้าน (home theater) เนื่องจากสามารถนำเสนอข้อมูลให้ผู้ชมจำนวนมากเห็นพร้อมๆกันได้
เทคโนโลยีของอุปกรณ์ฉายภาพที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ เทคโนโลยีแบบแอลซีดี (liquid crystal display : LCD) และเทคโนโลยีแบบดีแอลพี
(digital light
processing : DLP) เทคโนโลยีแบบดีแอลพี
ขนาดของอุปกรณ์จะเล็กกว่าแต่มีความสว่างรวมทั้งความคมชัดของภาพสูงกว่าแบบแอลซีดี
๑.๓) ลำโพง (speaker) เป็นอุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์ในรูปแบบเสียง
ซึ่งส่วนใหญ่จะมีมาพร้อมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ลำโพงมี ๒ ชนิด ดังนี้
(๑) ลำโพงแบบขยายเสียงในตัว จะมีปุ่มสำหรับปรับเสียงต่างๆ เช่น ปุ่ม volume สำหรับปรับความดังของเสียง
ปุ่ม base สำหรับปรับระดับความดังของเสียงทุ้ม
และปุ่ม treble สำหรับปรับระดับความดังของเสียงแหลม
เป็นต้น
(๒) ลำโพงแบบไม่มีวงจรขยายเสียง จะมีกรวยของลำโพงที่ใช้ภายในตัวลำโพง
ลำโพงชนิดนี้ต้องใช้การ์ดเสียงที่มีวงจรขยายเสียงสำหรับขยายเสียงออกลำโพง
๒) หน่วยส่งออกถาวร (hard
copy) เป็นอุปกรณ์แสดงผลที่ให้ผู้ใช้ได้ทราบผลลัพธ์ในรูปแบบกระดาษและสามารถนำผลลัพธ์ไปใช้ได้ในภายหลัง
หน่วยแสดงผลถาวรที่นิยมใช้ มีดังนี้
๒.๑) เครื่องพิมพ์ (printer)
เป็นอุปกรณ์ที่แสดงผลลัพธ์ได้ทั้งตัวอักษร
ตัวเลข ภาพนิ่ง ลงบนกระดาษ เครื่องพิมพ์แบ่งเป็น ๒ ประเภท ดังนี้
(๑) เครื่องพิมพ์แบบกระทบ (impact printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้หลักการพิมพ์โดยการกระแทกหัวพิมพ์กับแถบผ้าหมึก
ทำให้เกิดอักขระบนกระดาษ เครื่องพิมพ์แบบกระทบที่นิยมใช้ ได้แก่
เครื่องพิมพ์แบบจุด (dot-matrix
printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้หลักการทำงานโดยการสร้างจุดลงบนกระดาษ
โดยหัวพิมพ์จะมีลักษณะเป็นหัวเข็มที่มีรูปทรงต่างๆ เมื่อเครื่องทำการพิมพ์
หัวเข็มที่อยู่ในตำแหน่งต่างๆ จะยื่นออกมา
และกระแทกกับผ้าหมึกลงบนกระดาษที่ใช้พิมพ์ทำให้เกิดจุดมากมายประกอบกันเป็นตัวอักษรหรือรูปขึ้นมา
เครื่องพิมพ์ประเภทนี้นิยมใช้กับการพิมพ์เอกสารที่มีสำเนา
โดยสามารถใช้กระดาษคาร์บอนคั่นระหว่างกระดาษ
แรงกระแทกจะทำให้เกิดสำเนาเอกสารได้หลายสำเนา ข้อเสียของเครื่องพิมพ์ชนิด คือ
มีเสียงดังในขณะพิมพ์ ตัวอักษรไม่คมชัดมาก
(๒) เครื่องพิมพ์แบบไม่กระทบ (nonimpact printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้หลักการพิมพ์โดยวิธีการทางเคมีและใช้ความร้อนในการทำให้สีพิมพ์ติดกระดาษ
เครื่องพิมพ์แบบไม่กระทบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้
เครื่องพิมพ์ฉีดหมึก (ink
jet printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้หลักการพิมพ์โดยวิธีพ่นหยดหมึกเล็กๆให้ติดกับกระดาษ
หมึกพิมพ์แบบสีจะต้องใช้แม่สีสามสี ซึ่งการใช้งานปกติหมึกพิมพ์จะหมดไม่พร้อมกัน
ดังนั้น ในกรณีที่ใช้ตลับหมึกที่มีสามสีอยู่ในตลับเดียวกัน หากมีสีใดสีหนึ่งหมดก่อนตลับนั้นจะใช้ไม่ได้อีก
ดังนั้น บางบริษัทจึงแยกหมึกพิมพ์แต่ละสีออกจากกัน
เพื่อให้เป็นอิสระในการเปลี่ยนสีได้ ทั้งนี้เพื่อความประหยัด
ส่วนใหญ่หมึกพิมพ์แบบฉีดหมึกจะมีต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นสูง
แต่ตัวเครื่องมีราคาไม่แพง และให้ผลงานที่มีความสวยงาม คมชัด
เครื่องพิมพ์ชนิดนี้นิยมใช้กับงานพิมพ์ที่มีการพิมพ์เอกสารปริมาณไม่มาก เช่น
การพิมพ์รายงานที่บ้าน การพิมพ์เอกสารจำนวนไม่มากของหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น
เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (laser
printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้แสงเลเซอร์สร้างประจุไฟฟ้าบวกบนแผ่นกระดาษที่เคลื่อนที่
ซึ่งผงหมึกที่มีประจุลบจะถูกดูดกับประจุบวก
และลูกกลิ้งร้อนจะช่วยให้หมึกติดบนกระดาษ
เครื่องพิมพ์เลเซอร์มีความเร็วในการพิมพ์สูง
และมีต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นถูกกว่าเครื่องพิมพ์ฉีดหมึก แต่ตัวเครื่องมีราคาสูง
เครื่องพิมพ์เลเซอร์เหมาะกับงานต้องพิมพ์ปริมาณมาก เช่น
งานในสำนักงานร้านถ่ายเอกสาร ร้านออกแบบจัดพิมพ์รูปเล่ม งานออกแบบสิ่งพิมพ์
สื่อโฆษณา เป็นต้น
เครื่องพิมพ์แบบใช้ความร้อน (thermal printer) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้หลักการพิมพ์โดยการกลิ้งหมึกพิมพ์ที่เคลือบแวกซ์ไปบนกระดาษ
แล้วเพิ่มความร้อนให้กับหมึกพิมพ์จนแวกซ์ละลาย และติดอยู่บนกระดาษ
บางชนิดอาจใช้สีย้อมแทนแวกซ์ ทำให้สามารถพิมพ์ภาพสีที่มีคุณภาพการพิมพ์สูง
แต่ราคาเครื่องและค่าใช้จ่ายในการพิมพ์สูงมาก
เครื่องพิมพ์พล็อตเตอร์ (plotter) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้หลักการการเขียนภาพด้วยหัวปากกา
นิยมใช้ในงานออกแบบทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม ซึ่งภาพเหล่านี้เป็นภาพที่มีขนาดใหญ่
ดังนั้น เครื่องพิมพ์ชนิดนี้จึงถูกออกแบบให้สามารถพิมพ์กับกระดาษขนาดใหญ่ได้ถึง
๔๐-๘๐ นิ้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น